หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ธรรมชาติบำบัด

     ธรรมชาติบำบัด คือ การดูแลรักษา กาย ใจ โดยขบวนการธรรมชาติ ตั้งอยู่บนหลักว่าโรคทุกชนิด ทั้งร่างกายและจิตใจของคนเรา สามารถเยียวยารักษาตัวเองได้ ถ้าร่างกายอยู่ในสภาพสมดุลปกติ โรคร้ายต่างๆที่เกิดขึ้นจำนวนมาก เช่น มะเร็ง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดหัวใจตีบตัน ภูมิแพ้ หืดหอบ ฯลฯ เกิดจากการดำเนินชีวิตที่ผิดธรรมชาติ โดยเฉพาะคนที่อยู่ในเมืองใหญ่ๆ และ รับประทานอาหารที่มีสารเคมีปนเปื้อน เช่น เนื้อสัตว์ที่เลี้ยงด้วยฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต ยาปฏิชีวนะ หรือ รับประทานยาหรือฉีดยาที่ทำจากสารเคมี สารเหล่านี้จะตกค้างอยู่ในร่างกายมาก หรือการใช้ชีวิตที่เครียดเกินไป หักโหมเกินไป กังวลเกินไป ออกกำลังกายไม่เพียงพอ พักผ่อนไม่เพียงพอ ดังนั้น การดูแลสุขภาพของคนเราจะเน้น เรื่องอาหาร การรับประทานอาหารที่ดีก็จะทำให้มีสุขภาพดี สุขภาพของคนขึ้นอยู่กับ พฤติกรรมของการรับประทานอาหาร Bacteria ไม่มีผลทำให้เกิดโรคต่อร่างกาย การเจ็บป่วยของคนล้วนเกิดจากอาหารที่มีสารพิษปนเปื้อนที่คนเรารับประทานเข้า ไป เรื่อง ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นเรื่องของธรรมชาติที่ต้องเรียนรู้
    
ขบวนการขับสารพิษออกจากร่างกาย มี 4 ทาง คือ ทางจมูก ทางเหงื่อ ทางปัสสาวะ และ ทางอุจจาระ คนเราควรหมั่นหายใจลึกๆ จะได้อากาศบริสุทธิ์เข้าไปในปอด เพื่อนำออกซิเจนเข้าไปหล่อเลี้ยงร่างกาย และควรตากแสงแดดอ่อนๆ ทั้งในตอนเช้าและตอนเย็น เพื่อดูดสารพิษออกจากร่างกาย ซึ่งเป็นวิธีดูแลรักษาสุขภาพอย่างง่ายๆ ที่คนทั่วไปสามารถปฏิบัติได้ ในเวลาที่คนมีอาการเจ็บป่วยร่างกายจะเสียสมดุล ถ้าจะแก้ไขให้สมดุลก็ต้องปรับสภาพทั้งร่างกายและจิตใจ ร่างกายมีกลไกกำจัดสารพิษอยู่ในตัวเอง เช่น เวลาไอ จาม หรือ มีผื่น วิชาธรรมชาติบำบัด อธิบายว่าไม่ใช่อาการป่วยเป็นโรค แต่ร่างกายกำลังทำความสะอาดตัวเองตามธรรมชาติ เวลามีสารพิษเข้าไปในปอด ร่างกายก็จะจาม การจามแรงๆเป็นการขับพิษออกจากร่างกาย ซึ่งธรรมชาติก็ช่วยขับพิษอยู่แล้ว การรับประทานยาแก้ไอ จะทำให้ร่างกายไม่สามารถขับสารพิษออกมาได้ การที่เราเป็นไข้ก็เป็นขบวนการทำลายเชื้อโรค เมื่อมีอาการเจ็บคอ อาการไอ ก็ให้ใช้วิธีธรรมชาติบำบัด เวลามีอาการท้องเสีย วิชาธรรมชาติบำบัดอธิบายว่า เป็นการทำความสะอาดของร่างกายครั้งใหญ่ การถ่ายให้หมดจะช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกาย แต่คนเราไม่เข้าใจธรรมชาติ นึกว่าท้องเสียเป็นอาการของโรค ก็เลยไปซื้อยามารับประทานให้หยุดถ่าย อาการท้องเสียหยุดทันที ทำให้อาหารปนเปื้อนสารพิษที่รับประทานเข้าไป ซึ่งร่างกายต้องการขับออก แต่เราไปรับประทานยาให้หยุดถ่าย ทำให้ร่างกายกักสารพิษเอาไว้ ซึ่งไม่ถูกต้อง วิธีที่ถูกต้องคืออย่าไปรับประทานยาให้หยุดถ่าย ถ้าเรารับประทานยาให้หยุดถ่าย พิษต่างๆก็จะซึมเข้าสู่ร่างกาย หากซึมผ่านเส้นเลือดไปที่ผิวหนังก็จะเป็นผื่น ซึมไปที่ไตก็จะเป็นโรคไต ซึมไปที่ระบบหายใจก็จะเป็นหืดหอบ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ต้องใช้ธรรมชาติบำบัดให้ขับพิษออกให้หมด
แนะนำให้รับประทานอาหารมังสวิรัติ ไม่แนะนำให้อาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ เช่น หมู ปลา ท่านบรรยายว่าถ้านำเนื้อสัตว์ไปทิ้งไว้ในตู้หลายๆวันก็จะมีกลิ่นเหม็นเน่ามี สารพิษ เหมือนกับ คนที่รับประทานเนื้อสัตว์ไปหมักหมมอยู่ในลำไส้ ร่างกายก็จะได้รับสารพิษนั้นด้วย
    ในกรณีคนที่ปวดศีรษะเนื่องจากเป็นเนื้องอกที่สมอง จริงๆแล้วกลไกของร่างกายต้องการให้หยุดทำงาน หากรับประทานยาแก้ปวดศีรษะ อาการปวดบรรเทาก็ยังคงทำงานต่อไปได้ เนื้องอกก็จะลุกลามต่อไป จึงควรที่จะรักษาโดยธรรมชาติบำบัด (Health Life Style) การรับประทานยาต่างๆ เช่น Brufen, Paracetamol, Penicillin, Tetracycline ซึ่งจะมีพิษต่อตับ และไต ยาจะให้ผลดีในระยะสั้น แต่จะเกิดผลเสียในระยะยาว
    ทุกวันนี้คนเราป่วยเพราะมีสารพิษตกค้างในร่างกาย การบริโภคอาหารแต่ละชนิดใช้เวลาในการย่อยไม่เหมือนกัน เช่น เนื้อสัตว์ใช้เวลาในการย่อยนานถึง 12 ชั่วโมง ขณะที่ผักดิบใช้เวลาย่อย 2 ชั่วโมง 30 นาที ส่วนน้ำผลไม้ใช้เวลาย่อยเพียง 1 ชั่วโมง
    วิธีการอดอาหารเพื่อล้างพิษ เป็นทางเลือกหลักของวิชาธรรมชาติบำบัด บางคนอาจอดอาหาร 7 วัน บางคนอดอาหาร 14 วัน แต่บางคนอาจต้องอดอาหารถึง 21 วัน แล้วแต่อาการของโรค ก่อนการอดอาหารต้องเตรียมความพร้อมก่อน โดยให้รับประทานผักและผลไม้เพื่อปรับสภาพร่างกาย 3 วัน หลังจากนั้น 4 วันแรก ให้ดื่มน้ำเปล่าอย่างเดียว อีก 3 วัน ต่อมาให้ดื่มน้ำผึ้งผสมน้ำมะนาว และ 3 วันสุดท้าย ให้ดื่มน้ำผลไม้ จากนั้นค่อยๆปรับสภาพร่างกายโดยให้รับประทานผักสดและผลไม้ แล้วกลับมาใช้ชีวิตปกติตามเดิม
    ในรายผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็ง อาจให้อดอาหาร 20 วัน เพื่อไม่ให้มะเร็งเจริญเติบโต ระหว่างนั้นจะให้น้ำผลไม้อ่อนๆ ให้เอาผ้าเปียกมาประคบบริเวณที่มีอาการปวดจะทำให้เลือดหมุนเวียนได้ดีขึ้น เพราะระบบภายในของผู้ป่วยโรคมะเร็งจะสูญเสียสมดุลเกือบหมด ระหว่างการรักษา หากผู้ป่วยมีอาการไข้นอนซม หมอธรรมชาติบำบัดจะรู้สึกดีใจ เพราะเป็นวิธีการที่ธรรมชาติรักษาตัวเอง อุณหภูมิในร่างกายผู้ป่วยสูงขึ้นเพื่อฆ่าเชื้อโรค Jacob บอกว่า เมื่อผู้ป่วยภาวนาจนเกิดอาการไข้สูงต้องนอนซม 4 - 5 วันนั้น เป็นการส่งสัญญาณว่าการรักษาได้ผล บางครั้งผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บคอ ปากขมไม่อยากรับประทานอาหาร เพราะร่างกายต้องการเยียวยาตัวเอง หากผู้ป่วยมีอาการเจ็บปวดบริเวณที่เป็นโรคมะเร็งก็จะใช้โคลนพอกเพื่อช่วย บำบัดอาการเจ็บปวด นอกจากนี้ยังใช้วิธีฝึกเปลี่ยนจิตของผู้ป่วยด้วยการให้ฝึกภาวนาและเปลี่ยน วิธีคิดของผู้ป่วย โดยให้คิดว่าวันนี้อาการดีขึ้น หรือ ให้ผู้ป่วยด้วยกันช่วยกันเยียวยาจิตใจ เช่น ให้พูดบอกกันว่า วันนี้อาการดูดีขึ้นนะ
วิชาธรรมชาติบำบัดมีหลักว่า จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าวหากจิตตาย ร่างกายจะตายด้วย Dr. Jacob กล่าวว่า การฝึกโยคะก็เป็นอีกวิธีหนึ่งของการรักษาเพื่อให้เข้าถึงจิตตัวเอง คนทั่วไปมักจะนึกว่าเราเป็นเจ้าของร่างกาย แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่ ต้องกลับไปดูที่จิต ตัวอย่างเช่น คนที่ออกกำลังกายในโรงยิม ก็เหมือนคนภาวนาเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง เพราะจิตบอกว่าออกกำลังกายเพื่อให้มีกล้าม ต่างจากกรรมกรที่แบกหาม กล้ามเนื้อจะไม่สมบูรณ์เหมือนคนออกกำลังกายในโรงยิม เพราะจิตไม่ได้สั่ง
    กิจกรรมในสถานพยาบาลของศูนย์ธรรมชาติบำบัด นวชีวัน มีกำหนดการฝึกเป็นเวลา คือ
    6.00 น. - ฝึกโยคะ นุ่งห่มชุดขาว เป็นการฝึกกายและจิต โดยใช้แสงแดดในการรักษา
    - ล้างตาด้วยน้ำธรรมดา ล้างจมูกด้วยน้ำเกลืออุ่นๆ ล้างคอด้วยน้ำมะนาวผสมเกลือในน้ำอุ่นๆ สวนทวาร (detoxification) โดยใช้น้ำสะอาดครั้งละ 6 ออนซ์ ผู้ป่วยโรคมะเร็งต้องปฏิบัติทุกวัน ส่วนคนปกติธรรมดาควรล้างพิษด้วยการสวนทวารสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
    - กินผักสดดิบที่ได้มาจากธรรมชาติ โดยไม่ต้องทำให้สุกก่อน
    - อาหาร วิธีการปรุงอาหารอย่างไร ? ผสมกับอะไรจึงจะไม่เป็นพิษ การรับประทานอาหารที่เป็นธรรมชาติสดๆ หรือหากต้องรับประทานน้ำตาลก็ควรรับประทานน้ำตาลแดงที่ไม่ได้ใช้สารฟอกสี
    - ใช้วารีบำบัด โดยแช่ร่างกายส่วนล่างถึงระดับสะโพกในถังน้ำ ใช้น้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่นครั้งละครึ่งชั่วโมง ความเย็นของน้ำจะช่วยดึงเลือดมาเลี้ยงบริเวณกระเพาะเพื่อซ่อมแซมตัวเอง
    - ใช้ Spinal Bath ในผู้ป่วยที่มีอาการแขน ขา อ่อนแรง
    13.00 น. - ให้อดอาหาร ให้ดื่มน้ำ หรือน้ำผลไม้ โดยดูจากอาการของผู้ป่วยเป็น ราย ๆ ไป
    17.00 น. - เล่นเกม เข้านอน 21.00 น.

    ในการรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวานที่เป็นแผลเรื้อรัง เมื่อผู้ป่วยมีอาการเป็นแผลตามแขนขาซึ่งเป็นแผลที่รักษาไม่หาย อาจจะต้องตัดอวัยวะส่วนที่เป็นแผลทิ้ง Jacob รักษาโดยวิธีธรรมชาติบำบัดอย่างง่ายๆ ด้วยการให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานใช้ รับประทาน raw diet (อาหารดิบ น่าจะหมายถึงผักผลไม้สด) ใช้สมุนไพร tamaric root (พืชเป็นหัวใต้ดินตระกูลขิงข่าขมิ้น) และ น้ำเย็น ล้างแผล วันละ 2 - 3 ครั้ง แล้วให้ผู้ป่วยตากแดด เน้นเรื่อง การตากแดด แผลนั้นก็จะค่อยๆแห้ง และ ยุบจนกระทั่งแผลหาย
    การรักษาผู้ป่วยเป็นไมเกรน หรือ ไซนัส การล้างจมูกด้วยน้ำอุ่นผสมเกลือจะช่วยชำระล้างของสกปรกออกจากร่างกาย หรือล้างตาในน้ำสะอาด จะทำให้ระบบประสาทตาเย็นลง และช่วยขจัดไขมัน
    Jacob กล่าวว่า หากคนเราดูแลเรื่องอาหารการกิน ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตให้สอดคล้องกับธรรมชาติ ไม่รับประทานยา เพราะยาไม่เพียงแต่ ฆ่าเชื้อโรคเท่านั้น แต่ยังทำลายภูมิต้านทานโรคในร่างกาย ยาแผนปัจจุบันแม้จะช่วยยับยั้งอาการปวดหรืออาการไข้ แต่นั่นก็เป็นเพียงการกดอาการ ไม่ได้เป็นการรักษาให้หายขาด การรักษาอยู่ที่ตัวของเราเองที่หันมารักษาตามแนวทางธรรมชาติบำบัด วิชาธรรมชาติบำบัดขนานแท้ไม่ใช่หมอบำบัดคน หมอเป็นเพียงผู้ให้คำแนะนำปรึกษา จากนั้นผู้ป่วยจะเป็นผู้บำบัดเอง วิชาธรรมชาติบำบัดเปรียบเปรยให้เห็นว่า ห้องครัวก็คือโรงพยาบาล คุณแม่ก็เหมือนหมอในบ้าน จะทำให้คนในบ้านเจ็บป่วยหรือสุขภาพดี ก็ขึ้นอยู่กับคุณหมอคนนี้

    คำขวัญของศูนย์ธรรมชาติบำบัดนวชีวัน คือ “ เข้ามาคุณเป็นคนไข้ กลับออกไปคุณเป็นหมอ
นางจุฑา ลิ้มสุวัฒน์ บันทึกรายงาน
 ประวัติ นาย จาคอบ วาทักกันเชรี
    ท่านศึกษาปรัชญาแนวคิดของคานธีที่ สมบูรณกานติ เทสาย โยคะที่ สำนักศิวานันทะ ใกล้เชิงเขาหิมาลัย และ การรักษาแบบธรรมชาติบำบัด (Diploma in Natural Cure) All India Nature Cure Federation, Delhi ท่านสนใจการดำรงชีวิตแบบสัตยาเคราะห์ คือ แบบคานธี เป็นผู้ที่รณรงค์ต่อต้านการจำหน่ายสุราต่างประเทศในประเทศอินเดีย ด้วยการเชิญชวนผู้มีอุดมการณ์เดียวกันไปนั่งหน้าร้านจำหน่ายสุราต่างประเทศ เหล่านี้ไม่ให้คนเดินเข้ามาซื้อ จึงถูกจับจำคุก 2-3 ครั้ง ท่านได้จัดตั้ง ศูนย์ธรรมชาติบำบัด นวชีวัน เมืองอารัวอนาคูลัม รัฐเคราลา ตอนใต้ของอินเดีย ปัจจุบันมี 4 แห่ง
    ที่มา : การบรรยาย เรื่อง "ธรรมชาติบำบัด"
    โดย Mr.Jacob Vadakkanchary
    วันจันทร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2546 เวลา 13.00–16.00 น.
    ณ ห้องประชุมเบญจกูล สถาบันการแพทย์แผนไทย
 กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก

http://www.thaicam.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=52:2009-09-09-06-42-24&catid=42:2009-09-09-08-32-58&Itemid=82

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558


วันรักต้นไม้ประจำปีของชาติ
21 ตุลาคม ของทุกปี
เนื่องจาก สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงมีพระปณิธานอย่างแรงกล้าที่จะฟื้นฟูความสมดุลของ ธรรมชาติ โดยทรงปลูกและบำรุงรักษาต้นไม้ด้วยพระองค์มาตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ในการ นี้พระองค์ทรง ให้ความสำคัญของการบำรุงรักษาต้นไม้ที่ปลูกว่ามีความสำคัญและน่าเป็นห่วง มากกว่าการปลูก และเพื่อเป็นการ แสดงความกตัญญูกตเวทิตาต่อสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่ทรงงานพัฒนาชนบทของประเทศไทย โดยเฉพาะการฟื้นฟูสมดุลของธรรมชาติ คณะรัฐมนตรีได้มีมติ เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2533 กำหนดให้วันคล้ายวันพระราชสมภพของพระองค์ คือ วันที่ 21 ตุลาคม ของทุกปี เป็นวันบำรุงรักษาต้นไม้ประจำปีของชาติ และต่อมากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ ดำเนินการระดมความเห็นจากบุคคลทั่วไปเพื่อกำหนดชื่อที่เหมาะสมสำหรับวันดัง กล่าว ปรากฏชื่อว่า วันรัก ต้นไม้ประจำปีของชาติได้รับการพิจารณาเสนอให้คณะรัฐมนตรีรับทราบแล้ว เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2533


วัตถุประสงค์
1.    เพื่อบำรุงรักษาต้นไม้ที่ปลูกไว้ตามโครงการ และสถานที่ต่าง ๆ รวมทั้งการปลูกซ่อมต้นที่ตายให้สามารถเจริญเติบโตขึ้นปกคลุมพื้นที่โดยเร็ว
2.    เพื่อชี้นำให้ประชาชนร่วมมือร่วมใจกันบำรุงรักษาต้นไม้ที่ปลูกไว้ตามสถานที่ต่าง ๆ โดยพร้อมเพรียง
3.    เพื่อให้ประชาชนเห็นความสำคัญของการบำรุงต้นไม้ที่ปลูกไว้ อันจะบรรลุวัตถุประสงค์ของการอนุรักษ์พื้นที่สีเขียว
4.    เพื่อแสดงความกตัญญูกตเวทิตาถวายเป็นราช สักการะแด่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี โดยเข้าร่วมกิจกรรมในวันสำคัญดังกล่าว ซึ่งกรมป่าไม้ได้จัดให้มีการบำรุงต้นไม้ทุกปี


ที่มา www.aksorn.com

วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ไอเดียแต่งผนังและกำแพงด้วยหญ้ามอส




วันนี้นำเอาไอเดียแต่งบ้านเด็ด ๆ มาฝากเพื่อน ๆ ซึ่งวันนี้เราจะมาตกแต่งกำแพงหรือผนังภายนอกด้วยหญ้ามอสกัน แน่นอนว่าเราไม่ได้เอามาปลูกเป็นแนวด้านล่างข้าง ๆ กำแพงแน่ ๆ เพราะมันธรรมดาไป แต่ที่เรากำลังจะพูดถึงนี้ก็คือ การปลูกหญ้ามอสให้เป็นรูปหรือตัวอักษรต่าง ๆ ตามที่เราต้องการ

"มอส" เป็นพืชขนาดเล็กแพร่พันธุ์ด้วยสปอร์ มีลักษณะนุ่ม สูงประมาณ 1–10 เซนติเมตร เจริญเติบโตได้ดีบริเวณที่เปียกชื้น ซึ่งในเมื่อเรารู้ว่ามอสชอบที่เปียก ๆ เราก็จะมาเลี้ยงมอสเพื่อแต่งบ้านหรือ
จัดสวนกัน เริ่มจากเราต้องไปหามอสมาก่อนซึ่งหากบ้านใครจัดสวนอยู่แล้วอาจจะมีขึ้นตามพื้นอยู่บ้างหรือใครไม่มีก็ไปหาชื้อตามร้านขายต้นไม้ประดับครับ เมื่อได้มอสมาแล้วให้ทำความสะอาดล้างดินออกแล้วก็นำมาปั่นกับส่วนผสมต่าง ๆ ดังนี้

อุปกรณ์
-หญ้ามอส   3 ถ้วยตวง(ขึ้นอยู่กับประมาณรูปที่จะวาด)
-โยเกิร์ตธรรมชาติ 2 ถ้วยตวง
-เบียร์ หรือ น้ำเปล่า 2 ถ้วยตวง
-น้ำตาลข้าวโพด 1 ช้อนชา





จากนั้นก็ปั่น ๆ จนละเอียดได้ที่เราก็จะได้ครีมมอส แล้วทาใส่ภาชนะ (ถัง,ถ้วย) แล้วนำครีมมอส ไปวาดตามผนังที่เราต้องการ ก่อนวาดควรพรมน้ำที่ผนังให้ชุ่มก่อนพื้นให้มอสเจริญเติบโตได้ง่ายและเร็วขึ้น




จากนั้นค่อยรดน้ำโดยใช้กระบอกฉีดน้ำ ปรับให้เป็นละอองเบา ๆ เพื่อไม่ให้ครีมมอสหลุดออก จากนั้นก็รอคอยความสวยงามของมอสบนผนังของเราได้เลย


บทความ : www.ihome108.com
Images source : wikihow


7 ไอเดียสุดเริด หยิบ กระถางแตกมาสร้างสรรค์ใหม่


ทำสวน คงเคยพบเจอกับปัญหากระถางแตก เศษกระถางตกเกลื่อนบนพื้นและยังนึกไม่ออกว่าจะเอาเจ้าเศษกระถางแตกเหล่านั้นไปทำอะไรต่อดี เลยลองรวบรวม 7 ไอเดียเนรมิตกระถางแตก เศษกระถาง มาต่อยอดทำเป็นของใช้ ของตกแต่งชิ้นอื่นๆ เชื่อไหมว่า ครั้งถัดไปแถบอยากจะทุบกระถางให้แตกแล้วเอามาครีเอทเล่นๆ เอง



1.มาร์กจุดสำคัญในสวน ปากกระถางที่แตก เราสามารถนำชิ้นส่วนนั้นฝังลงดิน ตรงบริเวณที่เราปลูกต้นไม้แล้วเขียนชื่อพันธุ์ไม้นั้นลงบนขอบกระถางที่โผล่พ้นพื้นดินเพื่อแสดงให้เห็นว่าต้นไม้ต้นนั้นชื่อต้นอะไร



2.ทำบ้านให้คางคก คว่ำกระถางบิ่นลงบนดิน เพื่อใช้เป็นบ้านแสนสุขของเจ้าคางคก เนื่องจากคางคกชอบอยู่ในพื้นที่มืดและค่อนข้างชื้น ดังนั้นเราอาจนำกระถางบิ่นแล้วมาคว่ำให้เป็นเหมือนบ้านของมัน ส่วนหนึ่งเมื่อบริเวณนั้นเป็นบ้านของมัน มันจะได้ช่วยกำจัดแมลงในสวนได้ด้วย



3.วางเศษกระถางลงบนหน้าดิน วิธีที่จะช่วยรักษาหน้าดินในกระถางต้นไม้วิธีหนึ่งก็คือการนำเศษกระถางแตกวางลงบนหน้าดิน เวลารดน้ำดินจะได้ไม่กระเด็นออกนอกกระถาง


4.ออกแบบเป็นสวนกระถาง หลายๆ คนคงเคยเห็นสวนกระถางลักษณะนี้มาบ้างแล้ว การนำกระถางแตกมาทำเป็นสวนกระถางสไตล์เทพนิยายก็สร้างสรรค์และทำให้กระถางแตกดูมีคุณค่าขึ้นเยอะเลย


5.ครีเอทกระถางเป็นสวนแนวนอน กระถางแตกที่แล้ว เราสามารถนำมันมาวางลงบนพื้น แล้วปลูกดอกไม้พันธุ์ที่ชอบให้มีลักษณะเหมือนขึ้นและเติบโตจากกระถางที่ล้มนั้น สวยเป็นธรรมชาติดีนะคะ


6.ชะลอการไหลของน้ำ เศษกระถางแตกช่วยป้องกันน้ำไหลจากกระถาง ก่อนใส่ดินลงในกระถางปลูกต้นไม้ ให้นำเศษกระถางแตกวางรองตรงก้นกระถางก่อนเพื่อป้องกันน้ำไหลออกจากกระถางอย่างรวดเร็วเวลาเรารดน้ำ


7.ทำเป็นงานแฮนด์เมด กระถางที่แตกครึ่งใบสามารถเพ้นท์ด้านในให้เป็นรูปต่างๆ แล้ววางตลับเทียนหอมตรงก้นกระถาง ใช้เป็นของตกแต่งบ้านสวยๆ ได้เลยหนึ่งชิ้น
เห็นไหมคะว่า ของแตก ของเสียก็ไม่จำเป็นต้องทิ้งลงถังขยะเสมอไป เพราะหากเรารู้จักคิดและมองอะไรให้รอบด้านมากยิ่งขึ้น ของเหล่านั้นก็กลับมาทำประโยชน์ได้อีกครั้งหนึ่ง
ข้อมูลและภาพจาก  http://www.womansday.com


3 เทคนิคจัดสวนเอาใจสุนัขและแมว


"ด้วยความน่ารัก ฉลาด ขี้อ้อน ของสุนัขและแมว ที่เข้าไปนั่งในหัวใจของใครหลายๆ คนได้อย่างง่ายดาย ซึ่งสัตว์เลี้ยงเหล่านี้หากไม่ได้รับการเลี้ยงดูหรือไม่มีบริเวณให้พักผ่อน อาจทำให้เกิดความเครียด กดดันได้ไม่ต่างจากมนุษย์ วันนี้จึงขอแนะนำการจัดสวนสำหรับสัตว์เลี้ยง เพื่อเติมเต็มความสุขให้ทั่วถึงกัน"

1. ทำความรู้จักสัตว์เลี้ยง
ก่อนที่จะเลี้ยงสัตว์เลี้ยงสักตัวหนึ่ง ไม่ใช่แค่มีเวลา หรือมีสถานที่ให้วิ่งเล่น ต้องเรียนรู้นิสัยใจคอเบื้องต้นของสัตว์เลี้ยงด้วย อย่าง"สุนัข"มักจะมีนิสัยขี้เล่น ฉลาดและต้องการดูแลเอาใจใส่ที่ดี ไม่ต่างกับ"แมว"แม้จะมีอารมณ์ศิลปิน มีโลกส่วนตัวสูงจึงต้องจัดพื้นที่ให้พรางตัวอยู่บ้าง แต่ก็ยังต้องการการเลี้ยงดูที่ดีเช่นกัน

2. มีสนามหญ้าให้วิ่งเล่น
สุนัขและแมวเป็นสัตว์ที่มีอารมณ์อ่อนไหว รักความเป็นอิสระ หากสัตว์เลี้ยงได้รับการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอจะทำให้รู้สึกเครียดและเกิดอารมณ์ซึมเศร้าในที่สุด การมีพื้นที่อย่างสนามหญ้าโล่งโปร่ง สบายให้ได้วิ่งเล่นได้อย่างเป็นอิสระ รวมถึงเกลือกกลิ้งบนพื้นดิน จะทำให้ได้ผ่อนคลาย ส่งผลให้มีสุขภาพกายและใจที่ดี แต่ก็ต้องกั้นรั้วไม่ให้เล็ดรอดออกไปข้างนอกบ้านได้



















3. สร้างพื้นที่ผ่อนคลาย
อย่าไปบังคับสัตว์เลี้ยงมาเล่นด้วยในเวลาที่มันไม่อยากเล่น เพราะจะยิ่งทำให้หงุดหงิดและเครียด ดังนั้นการจัดให้มีมุมพักผ่อนนอนหลับ หรือปลูกต้นไม้ใหญ่ให้แมวได้ปีนป่าย ลับเล็บ ตามสัญชาตญาณนักล่า ตลอดจนมีบ่อน้ำให้ได้ทำความสะอาดหรือคลายร้อน ซึ่งจะทำให้รู้สึกเพลิดเพลิน อีกทั้งเสริมให้มีมุมปฐมพยาบาลเบื้องต้นอย่างสนามหญ้าให้สัตว์เลี้ยงกินตาม ธรรมชาติ เพื่อสังเกตอาการป่วยของสุนัขและแมวได้ง่ายขึ้น
 
เพราะสุนัขและแมวมีนิสัยอดทน จึงไม่แสดงอาการเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยให้เห็น และการไม่สามารถพูดภาษาเดียวกับคนได้ จึงต้องสื่อสารกันด้วยภาษากายแทน ภายใต้ขนปุยๆอาจซ่อนความทรมานไว้ เจ้าของจึงต้องดูแลอย่างใกล้ชิด อีกทั้งการได้รับสัมผัสที่อบอุ่นจากการกอดระหว่างเจ้าของกับสัตว์เลี้ยงจะช่วยลดอาการเครียดและซึมเศร้าได้อีกวิธีหนึ่ง

ข้อมูลและภาพจาก 
http://www.homedeedeeforyou.com   

                          http://home.sanook.com/6225/


จัดสวนหน้าบ้านตามหลัก ฮวงจุ้ย

จัดสวนหน้าบ้าน
ในส่วนของบริเวณที่อยู่หน้าบ้านนั้น ถือเป็นจุดแรกที่จะสร้างความประทับใจให้กับเจ้าบ้านและผู้ที่มาเยี่ยมเยือน จึงเป็นส่วนที่หลายคนจะให้ความสำคัญกับการจัดสวน เพื่อเพิ่มความสวยงามและช่วยสร้างความร่มรื่นให้กับบ้าน และยังกลายเป็นมุมพักผ่อนให้กับสมาชิกภายในบ้านได้อีกด้วย


จัดสวนหน้าบ้าน
แต่ในการจัดสวนหน้าบ้านก็จะต้องเลือกไม้ที่เหมาะกับทิศทางของแดด และไม่ควรที่จะจัดให้ดูรกหรือทึบเกินไปจนทำให้บดบังความสวยงามของตัวบ้านนะคะ ดังนั้นในวันนี้เราจึงมีไอเดียในการจัดสวนตามหลักฮวงจุ้ยมาฝากกันค่ะ


จัดสวนหน้าบ้าน
โดยลำดับแรกมาดูกันก่อนค่ะว่าพื้นที่หน้าบ้านของคุณมีมากหรือน้อย ถ้าหากว่ามีพื้นที่มากก็ควรเลือกปลูกต้นไม้ที่ช่วยให้ร่มเงา ตัวอย่างเช่น ต้นปีบ ต้นพิกุลหรือจำปี แต่หากหน้าบ้านของคุณนั้นมีพื้นที่น้อยก็ให้เลือกปลูกต้นไม้ที่มีขนาดไม่ใหญ่มากแต่ก็ยังให้ร่มเงาเช่น หมากนวล หมากเขียวและหมากเหลือง เป็นต้น

จัดสวนหน้าบ้าน
ต่อมาในส่วนของหน้าบ้าน ถ้าหากหน้าบ้านของคุณหันไปทางด้านทิศตะวันตก ช่วงบ่ายจะมีแสงแดดส่องมาในบ้าน ให้ปลูกต้นไม้ที่ช่วยบังผนังบ้านจะทำให้ไม่ร้อน หากหน้าบ้านของคุณหันไปทางทิศเหนือหรือตะวันออก ให้เลือกใช้ต้นไม้ขนาดเล็ก เช่นต้นโมก ลำดวนหรือแก้ว เพราะจะไม่ค่อยมีปัญหาในเรื่องแสงแดด แต่หากหน้าบ้านของคุณหันไปทางทิศใต้ให้ปลูกไม้โตช้า อย่างเช่น ไม้จำพวกสน


จัดสวนหน้าบ้าน
ว่ากันว่าสวนหน้าบ้านควรจะหันไปทางทิศใต้ เพราะจะช่วยดูดพลังที่ให้โชค หรือเรียกว่าพลังหยาง นั้นเอง แต่หากสวนหน้าบ้านของคุณไม่ได้หันไปทางทิศใต้ ก็ให้หารูปปั้นรูปหงส์มาวาง ก็จะช่วยดูดพลังนี้ได้ค่ะ
สวนหน้าบ้านที่หันไปทางทิศเหนือจะช่วยดึงดูดพลังที่ช่วยส่งเวริมในเรื่องของอาชีพและการงานต่างๆ โดยมีเคล็ดลับคือจะต้องมีบ่อน้ำหรือตกแต่งสวนโดยมีน้ำเป็นองค์ประกอบ ที่สามารถมองเห็นได้จากประตูด้านหน้า
และสวนหน้าบ้านที่หันไปทางทิศเหนือหรือทิศตะวันออกนั้น จะช่วยดึงดูดพลังที่ส่งเสริมในเรื่องครอบครัว ให้ปลูกต้นไผ่ในการเสริมพลังนี้ให้ชัดขึ้นค่ะ
อย่างไรก็ตาม ก็หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณได้นำไปใช้ประโยชน์ในการจัดสวนไม่มากก็น้อยนะคะ ขอให้สนุกกับการจัดสวนค่ะ ^^








อ้างอิงจาก http://www.homeidea.in.th/%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%99/%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99/
5 เคล็ดลับดูแลสวน...เพื่อสวนสวยตลอดกาล


ขอบคุณภาพประกอบจาก http://www.bhg.com/
การจัดสวน จะช่วยเพิ่มความสวยและน่าอยู่ให้กับบ้านได้มากทีเดียว แต่ทั้งนี้เมื่อจัดสวนแล้วจะต้องดูแลมากเป็นพิเศษด้วยนะ เพื่อให้สวนดูสวยตลอดกาลนั่นเอง ว่าแต่เราจะต้องดูแลสวนของเราอย่างไรบ้างนั้น ไปดูกันเลยค่ะ



                               ขอบคุณภาพประกอบจาก https://www.flickr.com/


1.เตรียมอุปกรณ์ดูแลสวนให้พร้อม
คุณควรเตรียมอุปกรณ์ในการดูแลสวนให้พร้อม และเลือกใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมด้วย เพื่อให้สามารถนำออกมาใช้ได้ทันทีเมื่อจำเป็นต้องใช้นั่นเอง นอกจากนี้อุปกรณ์ที่ใช้ความมีคุณภาพและมีความแข็งแรงมากพอ เพื่อให้ใช้งานได้อย่างยาวนานและคุ้มค่ามากที่สุด
2.กำจัดวัชพืชอยู่เสมอ
ไม่ว่าอะไรก็มักจะมีอุปสรรคอยู่เสมอ การจัดสวนก็เช่นกัน ซึ่งอุปสรรคในการจัดสวนก็คือวัชพืชศัตรูร้ายของต้นไม้นั่นเอง เนื่องจากวัชพืชเหล่านี้จะมาแย่งสารอาหารและน้ำจากต้นไม้ไป อีกทั้งวัชพืชบางชนิดยังอาจจะทำให้ต้นไม้เกิดเชื้อราและตายได้อีกด้วย ดังนั้นจึงควรกำจัดวัชพืชให้กับต้นไม้ของคุณอยู่บ่อยๆ รวมถึงป้องกันแมลงร้ายที่จะมากัดกินใบด้วย




ขอบคุณภาพประกอบจาก http://www.attainable-sustainable.net/


3.รดน้ำในตอนเช้าเป็นประจำ
ช่วงเวลาที่เหมาะกับการรดน้ำต้นไม้มากที่สุด ก็คือช่วงเช้า เพราะเวลานี้ต้นไม้จะได้รับน้ำอย่างเต็มที่ เนื่องจากมีการระเหยของน้ำน้อยกว่าช่วงอื่นๆ นั่นเอง ดังนั้นทุกๆ เช้า อย่าลืมมารดน้ำให้กับต้นไม้ในสวนสวยๆ ของคุณกันก่อนนะ แล้วจะได้สวนที่สวยพร้อมกับบ้านสวยอย่างแน่นอน นอกจากนี้ อีกช่วงเวลาหนึ่งที่เหมาะกับการรดน้ำ ก็คือช่วงเย็นนั่นเอง
4.พรวนดินบ่อยๆ
ใช่ว่าการพรวนดิน จะจำเป็นต้องทำเฉพาะตอนปลูกต้นไม้เท่านั้นนะ แต่ควรทำบ่อยๆ และสม่ำเสมอ เพื่อให้ดินร่วนซุย เหมาะกับการเจริญเติบโตของต้นไม้นั่นเอง โดยเฉพาะหากดินบริเวณนั้นเป็นดินที่มีความแข็งด้วยแล้ว อาจจะต้องหมั่นพรวนดินบ่อยครั้งมากกว่าปกติเป็นสองเท่าเลยล่ะ




                          ขอบคุณภาพประกอบจาก http://www.buzzfeed.com/

5.ใส่ปุ๋ยอย่างถูกต้องและตรงเวลา
ต่อให้สวนสวยแค่ไหน หากไม่ได้รับสารอาหารที่สำคัญจากปุ๋ยเลย ก็จะทำให้สวนดูแย่ลงได้เหมือนกัน อย่าลืมนะว่าเราจัดสวนเพื่อตกแต่งบ้านให้ดูสวยงามน่าอยู่มากขึ้น ดังนั้นจึงต้องใส่ปุยให้กับต้นไม้ในสวนของคุณเสมอเมื่อถึงเวลา และควรเลือกปุ๋ยให้ถูกต้องด้วยล่ะ ซึ่งเราสามารถรู้ได้ว่าต้นไม้กำลังต้องการปุ๋ยอะไรจากการสังเกตใบและต้นนั่นเอง
การตกแต่งบ้านด้วยการจัดสวน จะทำให้บ้านดูสวยน่าอยู่ และร่มรื่นเป็นอย่างมาก ให้บรรยากาศที่เหมาะกับการพักผ่อน และให้ความรู้สึกผ่อนคลายมากทีเดียว นอกจากนี้การมีสวนในบ้านยังช่วยให้บ้านร่มเย็นอีกด้วยนะ แต่ทั้งนี้อย่าลืมที่จะดูแลสวนของคุณให้ดี เพื่อสวนที่สวยคู่บ้านสวยตลอดกาลด้วยล่ะ




อ้างอิงจาก http://home.sanook.com/6659/